6 กันยายน 2554

ความสำเร็จ

ความสำเร็จ

แม้ว่าลาจะร้องเสียงจิ้งหรีดได้
มันก็เป็นความล้มเหลว มากกว่าความสำเร็จ

ทางแห่งความสำเร็จของชีวิต
ไม่อาจเลียนแบบกันได้
ผู้มีทัศนะคับแคบงมงายเท่านั้น
ที่จะเลียนแบบวิถีแห่งความสำเร็จของผู้อื่น

ความพยายามของตัวตน เพื่อตัวตน
ไม่อาจช่วยให้ชีวิตพบความสำเร็จที่แท้จริงได้
เพราะความพยายามเช่นนี้อยู่ที่ไหน
ความสำเร็จที่แท้จริงก็หาอยู่ด้วยไม่
จะมีก็แต่ความสำเร็จจอมปลอม
ที่กว่าจะได้มาก็ต้องทุกข์ทรมาน แสวงหา

การเข้าใจความจริงของชีวิตนั่นเอง
คือความสำเร็จของชีวิต
และการใช้ชีวิตเพื่อสรรพชีวิต
ก็คือหนทางของความสำเร็จ

5 กันยายน 2554

โทษของอินเทอเน็ต

โทษของอินเทอเน็ต

  1. โรคติดอินเทอเน็ต(Webaholic)

อินเตอร์เน็ตก็เป็นสิ่งเสพติดหรือ?

หากการเล่นอินเตอร์เน็ต ทำให้คุณเสียงาน หรือแม้แต่ทำลาย นักจิตวิทยาชื่อ Kimberly S. Young ได้ศึกษาพฤติกรรม ของผู้ใช้อินเตอร์เน็ตอย่างมากเป็นจำนวน 496 คน โดยเปรียบเทียบ กับบรรทัดฐาน ซึ่งใช้ในการจัดว่า ผู้ใดเป็นผู้ที่ติดการพนัน การติดการพนันประเภทที่ถอนตัวไม่ขึ้น มีลักษณะคล้ายคลึงกับ การติดอินเตอร์เน็ต เพราะทั้งสองอย่าง เกี่ยวข้องกับการล้มเหลว ในการควบคุมความต้องการของตนเอง โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสารเคมีใดๆ (อย่างสุรา หรือยาเสพติด) คำว่า อินเตอร์เน็ต ในการศึกษาวิจัยเรื่องนี้ หมายรวมถึง ตัวอินเตอร์เน็ตเอง ระบบออนไลน์ (อย่างเช่น AmericaOn-line, Compuserve, Prodigy) หรือระบบ BBS (Bulletin Board Systems) และการศึกษาวิจัยครั้งนี้ ได้ระบุว่า ผู้ที่มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ อย่างน้อย 4 อย่าง เป็นเวลานานอย่างน้อย 1 ปีถือได้ว่า มีอาการติดอินเตอร์เน็ต

    • รู้สึกหมกมุ่นกับอินเตอร์เน็ต แม้ในเวลาที่ไม่ได้ต่อกับอินเตอร์เน็ต
    • มีความต้องการใช้อินเตอร์เน็ตเป็นเวลานานขึ้น
    • ไม่สามารถควบคุมการใช้อินเตอร์เน็ตได้
    • รู้สึกหงุดหงิดเมื่อต้องใช้อินเตอร์เน็ตน้อยลงหรือหยุดใช้
    • ใช้อินเตอร์เน็ตเป็นวิธีในการหลีกเลี่ยงปัญหาหรือคิดว่าการใชอินเตอร์เน็ตทำให้ตนเองรู้สึกดีขึ้น
    • หลอกคนในครอบครัวหรือเพื่อน เรื่องการใช้อินเตอร์เน็ตของตัวเอง
    • การใช้อินเตอร์เน็ตทำให้เกิดการเสี่ยงต่อการสูญเสียงาน การเรียน และความสัมพันธ ์ ยังใช้อินเตอร์เน็ตถึงแม้ว่าต้องเสียค่าใช้จ่ายมาก
    • มีอาการผิดปกติ อย่างเช่น หดหู่ กระวนกระวายเมื่อเลิกใช้อินเตอร์เน็ต
    • ใช้เวลาในการใช้อินเตอร์เน็ตนานกว่าที่ตัวเองได้ตั้งใจไว้

สำหรับผู้ใช้อินเตอร์เน็ต ที่ไม่เข้าข่ายข้างต้นเกิน 3 ข้อในช่วงเวลา 1 ปี ถือว่ายังเป็นปกติ จากการศึกษาวิจัย ผู้ที่ใช้อินเตอร์เน็ตอย่างหนัก 496 คน มี 396 คนซึ่งประกอบไปด้วย เพศชาย 157 คน และเพศหญิง 239 คน เป็นผู้ที่เรียกได้ว่า "ติดอินเตอร์เน็ต" ในขณะที่อีก 100 คนยังนับเป็นปกติ ประกอบด้วยเพศชาย และเพศหญิง 46 และ 54 คนตามลำดับ สำหรับผู้ที่จัดว่า "ติดอินเตอร์เน็ต" นั้นได้แสดงลักษณะอาการของการติด (คล้ายกับการติดการพนัน) และการใช้อินเตอร์เน็ต อย่างหนักเหมือนกับ การเล่นการพนัน ความผิดปกติในการกินอาหาร หรือสุราเรื้อรัง มีผล กระทบต่อการเรียน อาชีพ สภาพทางสังคมและเศรษฐกิจของคนคนนั้น ถึงแม้ว่าการวิจัยที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นว่า การติดเทคโนโลยีอย่างเช่น การติดเล่นเกมส์ ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นกับเพศชายแต่ผลลัพธ์ข้างต้น แสดงให้เห็นว่า ผู้ที่ติดอินเตอร์เน็ต ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง วัยกลางคนและไม่มีงานทำ

  1. เรื่องอณาจารผิดศีลธรรม(Pornography/Indecent Content)
    เรื่องของข้อมูลต่างๆที่มีเนื้อหาไปในทางขัดต่อศีลธรรม ลามกอนาจาร หรือรวมถึงภาพโป๊เปลือยต่างๆนั้นเป็น เรื่องที่มีมานานพอสมควรแล้วบนโลกอินเทอเน็ต แต่ไม่โจ่งแจ้งเนื่องจากสมัยก่อนเป็นยุคที่ WWW ยังไม่พัฒนา มากนักทำให้ไม่มีภาพออกมา แต่ในปัจจุบันภายเหล่านี้เป็นที่โจ่งแจ้งบนอินเทอเน็ตและสิ่งเหล่านี้สามารถเข้าสู่เด็ก และเยาวชนได้ง่ายโดยผู้ปกครองไม่สามารถที่จะให้ความดูแลได้เต็มที่ เพราะว่าอินเทอเน็ตนั้นเป็นโลกที่ไร้พรมแดนและเปิดกว้างทำให้สือ่เหล่านี้สามรถเผยแพร่ไปได้รวดเร็วจนเรา ไม่สามารถจับกุมหรือเอาผิดผู้ที่ทำสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาได้

    • รู้สึกหมกมุ่นกับอินเตอร์เน็ต แม้ในเวลาที่ไม่ได้ต่อกับอินเตอร์เน็ต
    • มีความต้องการใช้อินเตอร์เน็ตเป็นเวลานานขึ้น
    • ไม่สามารถควบคุมการใช้อินเตอร์เน็ตได้
    • รู้สึกหงุดหงิดเมื่อต้องใช้อินเตอร์เน็ตน้อยลงหรือหยุดใช้
    • ใช้อินเตอร์เน็ตเป็นวิธีในการหลีกเลี่ยงปัญหาหรือคิดว่าการใชอินเตอร์เน็ตทำให้ตนเองรู้สึกดีขึ้น
    • หลอกคนในครอบครัวหรือเพื่อน เรื่องการใช้อินเตอร์เน็ตของตัวเอง
    • การใช้อินเตอร์เน็ตทำให้เกิดการเสี่ยงต่อการสูญเสียงาน การเรียน และความสัมพันธ์ ยังใช้อินเตอร์เน็ตถึงแม้ว่าต้องเสียค่าใช้จ่ายมาก
    • มีอาการผิดปกติ อย่างเช่น หดหู่ กระวนกระวายเมื่อเลิกใช้อินเตอร์เน็ต
    • ใช้เวลาในการใช้อินเตอร์เน็ตนานกว่าที่ตัวเองได้ตั้งใจไว้

  1. ไวรัส ม้าโทรจัน หนอนอินเตอร์เน็ต และระเบิดเวลา
    • ไวรัส : เป็นโปรแกรมอิสระ ซึ่งจะสืบพันธุ์โดยการจำลองตัวเองให้มากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อที่จะทำลายข้อมูล หรืออาจทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานช้าลงโดยการแอบใช้สอยหน่วยความจำหรือพื้นที่ว่างบนดิสก์โดยพลการ
      ม้าโทรจัน : ม้าโทรจันเป็นตำนานนักรบที่ซ่อนตัวอยู่ในม้าไม้ แล้วแอบเข้าไปในเมืองจนกระทั่งยึดเมืองได้สำเร็จ โปรแกรมนี้ก็ทำงานคล้ายๆกัน คือโปรแกรมนี้จะทำหน้าที่ไม่พึงประสงค์ มันจะซ่อนตัวอยู่ในโปรแกรมที่ไม่ได้รับอนุญาต มันมักจะทำในสิ่งที่เราไม่ต้องการ และสิ่งที่มันทำนั้น ไม่มีความจำเป็นต่อเราด้วย
    • หนอนอินเตอร์เน็ต : ถูกสร้างขึ้นโดย Robert Morris, Jr. จนดังกระฉ่อนไปทั่วโลก มันคือโปรแกรมที่จะสืบพันธุ์โดยการจำลองตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ จากระบบหนึ่ง ครอบครองทรัพยากรและทำให้ระบบช้าลง
    • ระเบิดเวลา : คือรหัสซึ่งจะทำหน้าที่เป็นตัวกระตุ้นรูปแบบเฉพาะของการโจมตีนั้นๆ ทำงานเมื่อสภาพการโจมตีนั้นๆมาถึง ยกตัวอย่างเช่น ระเบิดเวลาจะทำลายไฟล์ทั้งหมดในวันที่ 31 กรกฎาคม 2542

ความสำคัญของอินเทอร์เน็ต

ความสำคัญของอินเทอร์เน็ต
ในปัจจุบันอินเทอร์เน็ตมีบทบาทและมีความสำคัญต่อชีวิตประจำวันของคนเราเป็นอย่างมาก เพราะทำให้วิถีชีวิตเราทันสมัยและทันเหตุการณ์อยู่เสมอ เนื่องจากอินเทอร์เน็ตจะมีการเสนอข้อมูลข่าวปัจจุบัน และสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นให้ผู้ใช้ทราบเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน สารสนเทศที่เสนอในอินเทอร์เน็ตจะมีมากมายหลายรูปแบบเพื่อสนองความสนใจและความต้องการของผู้ใช้ทุกกลุ่ม อินเทอร์เน็ตจึงเป็นแหล่งสารสนเทศสำคัญสำหรับทุกคนเพราะสามารถค้นหาสิ่งที่ตนสนใจได้ในทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปค้นคว้าในห้องสมุด หรือแม้แต่การรับรู้ข่าวสารทั่วโลกก็สามารถอ่านได้ในอินเทอร์เน็ตจากเว็บไซต์ต่าง ๆ ของหนังสือพิมพ์
ดังนั้นอินเทอร์เน็ตจึงมีความสำคัญกับวิถีชีวิตของคนเราในปัจจุบันเป็นอย่างมากในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นบุคคลที่อยู่ในวงการธุรกิจ การศึกษา ต่างก็ได้รับประโยชน์จากอินเทอร์เน็ตด้วยกันทั้งนั้น

1. ด้านการศึกษา อินเทอร์เน็ตมีความสำคัญ ดังนี้
1. สามารถใช้เป็นแหล่งค้นคว้าหาข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลทางวิชาการ ข้อมูลด้านการบันเทิง ด้านการแพทย์ และอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
2. ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต จะทำหน้าที่เปรียบเสมือนเป็นห้องสมุดขนาดใหญ่
3. นักเรียนนักศึกษาสามารถใช้อินเทอร์เน็ตติดต่อกับมหาวิทยาลัยหรือโรงเรียนอื่น ๆ เพื่อค้นหาข้อมูลที่กำลังศึกษาอยู่ได้ ทั้งที่ข้อมูลที่เป็นข้อความเสียง ภาพเคลื่อนไหวต่าง ๆ

2. ด้านธุรกิจและการพาณิชย์ อินเทอร์เน็ตมีความสำคัญดังนี้
1. ค้นหาข้อมูลต่าง ๆ เพื่อช่วยในการตัดสินใจทางธุรกิจ
2. สามารถซื้อขายสินค้า ทำธุรกรรมผ่านระบบเครือข่าย
3. เป็นช่องทางในการประชาสัมพันธ์ โฆษณาสินค้า ติดต่อสื่อสารทางธุรกิจ
4. ผู้ใช้ที่เป็นบริษัท หรือองค์กรต่าง ๆ ก็สามารถเปิดให้บริการ และสนับสนุนลูกค้าของตนผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้ เช่น การให้คำแนะนำ สอบถามปัญหาต่าง ๆ ให้แก่ลูกค้า แจกจ่ายตัวโปรแกรมทดลองใช้ (Shareware) โปรแกรมแจกฟรี (Freeware)

3. ด้านการบันเทิง อินเทอร์เน็ตมีความสำคัญดังนี้
1. การพักผ่อนหย่อนใจ สันทนาการ เช่น การค้นหาวารสารต่าง ๆ ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ที่เรียกว่า Magazine Online รวมทั้งหนังสือพิมพ์และข่าวสารอื่น ๆ โดยมีภาพประกอบที่จอคอมพิวเตอร์เหมือนกับวารสารตามร้านหนังสือทั่ว ๆ ไป
2. สามารถฟังวิทยุหรือดูรายการโทรทัศน์ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้
3. สามารถดึงข้อมูล (Download) ภาพยนตร์มาดูได้

อินเตอร์เน็ตในชีวิตประจำวัน

อินเตอร์เน็ตในชีวิตประจำวัน

ปัจจุบันอินเตอร์เน็ตได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเราแล้ว เราสามารถทราบข่าวสารเกี่ยวกับอินเตอร์เน็ตได้จากหนังสือพิมพ์ วารสาร รายการวิทยุ และจากแหล่งข่าวสารมากมายทั่งทุกมุมโลก ทุกวันนี้มีหนังสือเกี่ยวกับอินเตอร์เน็ตให้เราทำความรู้จักและศึกษาเพิ่มเติม หนังสือพิมพ์ต่างๆ ซึ่งไม่ใช่หนังสือเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ก็ยังลงบทความเกี่ยวกับอินเตอร์เน็ต จึงทำให้เราเข้าใจเรื่องราวของอินเตอร์เน็ตและใช้งานจากอินเตอร์เน็ตมากขึ้น นอกจากนี้แล้วยังมีการเปิดสอนเป็นหลักสูตรในระดับปริญญาโทบนอินเตอร์เน็ต จากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในต่างประเทศ สำหรับในประเทศไทยมีการจัดการเรียนการสอนเป็นบางรายวิชา เช่น การเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยเสมือนของนิสิตปริญญาโทโสตทัศนศึกษาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นต้น

ทุกวันนี้มีการสร้างโปรแกรมประยุกต์ใช้งานบนอินเตอร์เน็ตมากมาย มีสถานีให้บริการเว็บ เกิดขึ้นทั่วโลก ในแต่ละวันมีสถานีใหม่ๆ เกิดขึ้นให้เราเข้าไปใช้งาน จำนวนผู้เข้าใช้บริการเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ซึ่งหน่วยงานทั้งของรัฐและเอกชนต่างพยายามขวนขวายหาทางให้ตนเองมีหมายเลขบัญชีบนอินเตอร์เน็ต (Internet Account) หรือเป็นสาขาย่อย (Node) ของศูนย์บริการอินเตอร์เน็ต (Internet Service Provider, ISP) เพื่อบริการแก่เจ้าหน้าที่ พนักงานใหม่ในหน่วยงานของตน


อันตรายจากอินเตอร์เน็ต

ประเทศไทยมีการนำระบบอินเตอร์มาใช้หลายปี ส่วนใหญ่เป็นการใช้งานภายในหน่วยงานราชการ สถาบันการศึกษา ต่อมามีการนำเอามาใช้ในเชิงธุรกิจสำหรับบุคคลทั่วไป ในปี พ.ศ. 2537 แต่ไม่ได้รับความนิยม สำหรับปี พ.ศ. 2539 แตกต่างกันออกไป ผลจากการที่มีข่าวปรากฏบนหน้าหนังสือพิมพ์ว่ามีการนำภาพดารามาตกแต่งเป็นภาพโป๊เปลือย แล้วนำไปแจกจ่ายบนอินเตอร์เน็ต กระแสความสนใจเกิดขึ้น ผู้คนทั่วไปเริ่มหันมาสนใจกับอินเตอร์มากขึ้นทุกที

อันตรายของอินเตอร์เน็ตที่พบเห็นได้เด่นชัดที่สุดน่าจะเป็นการใช้อินเตอร์เน็ต ผิดประเภทผิดวัตถุประสงค์ และใช้สื่อทางอินเตอร์เน็ตเพื่อกล่าวหาและโจมตีคู่แข่ง เพราะอินเตอร์เน็ตเป็นสื่อที่สามารถกระจายไปทั่วโลกได้อย่างรวดเร็ว
แต่อย่างไรอันตรายที่เกิดจากอินเตอร์เน็ตก็นับว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับประโยชน์ที่เราจะได้รับ


World Wide Web, Web Pages, Web Site และ HTML

ในการบริการอินเตอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็น E – mail, FTP เป็นบริการที่ได้กว้างขวางและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ บริการ www จะช่วยให้ผู้ที่ต้องการศึกษาหาความรู้จากแหล่งต่างๆ เข้าไปดูเอกสารซึ่งจะมีทั้งมีทั้งภาพและเสียง หรือภาพยนตร์ประกอบด้วยได้

เอกสารที่เราเปิดดูใน World Wide Web เรียกว่า เว็บเพจ (Web Pages) เรียกสั้นๆว่า เว็บ (Web) สร้างขึ้นจากภาษาคอมพิวเตอร์ที่เรียกชื่อว่า HTML (HyperText markup Language) ภาษา HTML จะกำหนดรูปแบบหน้าตาของเอกสารเว็บที่ปรากฏบนหน้าจอ และเชื่อมต่อกับเว็บเพจกับข้อมูลอื่นๆ
เอกสารแต่ละหน้ามีการเชื่อมต่อถึงกันในลักษณะที่เราสามารถเรียกดูเอกสารหนึ่งจากเอกสารฉบับอื่นได้ โดยในเว็บเพจจะมี Link เป็นคุณสมบัติที่ทำให้เว็บเพจแตกต่างจากเอกสารทั่วไป เพราะผู้อ่านสามารถโต้ตอบกับข้อมูลได้ โดยการคลิกเมาส์ เพื่อเปิดดูข้อมูลในส่วนที่ต้องการ
บางคนอาจคิดว่าเว็บเพจมีส่วนคล้ายหน้าหนังสือ แต่ที่จริงแล้วเว็บเพจมีความแตกต่างจากหนังสือโดยทั่วไป เพราะเว็บเพจเป็นสื่อที่สามารถโต้ตอบได้การใช้ Link ทำให้เว็บเพจ แตกต่างจากสิ่งพิมพ์อื่นๆ เพราะผู้ใช้สามารถเลือกดูเฉพาะข้อมูลที่ต้องการ โดยไม่ต้องสนใจข้อมูลมหาศาลในอินเตอร์เน็ต ข้อมูลในเว็บมีการเปลี่ยนแปลงอย่างสม่ำเสมอ เช่น เว็บตลาดหุ้นจะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา นอกจากนั้นเว็บยังสามารถแสดงข้อมูลได้มากกว่าตัวอักษรหรือภาพเว็บเพจสามารถแสดงเสียง ภาพเคลื่อนไหว หรือภาพยนตร์ได้
แต่ละเว็บไซต์เมื่อพิจารณาดูก็คล้ายๆ หนังสือหนึ่งเล่มซึ่งประกอบด้วยหน้าหนังสือจำนวนมาก หน้าปกหนังสือมีความสำคัญมาก เพราะจะต้องสื่อเนื้อหาหลักของหนังสือในรูปแบบที่สะดุดตา และจูงใจให้คนเปิดอ่านถ้าเปรียบเว็บไซต์เหมือนหนังสือที่ประกอบด้วยเว็บเพจ จำนวนมากโฮมเพจ คือ เว็บเพจหน้าแรกที่มีหน้าที่คล้ายปกหนังสือ
เมื่อเปิดดูโฮมเพจจะพบคำแนะนำการใช้งาน สรุปสิ่งที่น่าสนใจในเว็บไซต์ไปจนถึงหัวข้อที่เชื่อมต่อไปยังเว็บเพจอื่นๆ


URL, Web Broser

การเปิดดูเว็บเพจ จะต้องมีการระบุตำแหน่งที่เก็บเว็บเพจนั้นในอินเตอร์เน็ต เรียกว่า URL หรือ Uniform Resource Locatution ส่วนสำคัญของ URL มีดังนี้

โปรโตคอล จะแจ้งให้บราวเซอร์ทราบว่าต้องจัดการกับข้อมูลที่พบอย่างไร
สำหรับเว็บเพจโปรโตคอลมาตรฐานที่ใช้มีชื่อเรียกว่า HTTP (HyperText Transfer Protocol)

ชื่อเซิฟเวอร์ จะระบุชื่อของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่เผยแพร่เว็บเพจ
บางครั้งส่วนนี้จะถูกเรียกว่า โดเมนเนม (Domain Name)
เซิฟเวอร์ทุกเครื่องจะมีโดเมนเนมเฉพาะที่ไม่เหมือนใคร
ชื่อเซิฟเวอร์อาจระบุแทนด้วยตัวเลขเฉพาะของมัน เช่น
195.121.237.1 เป็นต้น

การทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมเป็นเครือข่ายในระบบอินเตอร์เน็ต มีคอมพิวเตอร์ทั้งหมด 2 ประเภท ได้แก่ เครื่องดูแลเครือข่าย (Server) และเครื่องลูกข่าย (Client)
จึงเรียกเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมกับอินเตอร์เน็ตนี้ว่า Client Server Network

โปรแกรมสำหรับเข้า www เรียกว่า บราวเซอร์ (Web Broser) ปัจจุบันมีบราวเซอร์หลายรายที่ใช้สำหรับเปิดดูเว็บเพจถึงแม้แต่ละตัวมีคุณสมบัติคล้ายกัน แต่ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยแตกต่างกัน เมื่อเปิดบราวเวอร์เพื่อดูเว็บเพจเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เราใช้จะทำหน้าที่เป็นลูกข่าย (Clint) ติดต่อกับเครื่องที่เก็บข้อมูลเว็บเพจที่ทำหน้าที่เป็นเครื่องดูแลเครือข่าย (Server)

โปรแกรมบราวเซอร์ที่นิยมใช้ในปัจจุบันมี 2 กลุ่ม ได้แก่

- Internet Explorer ของบริษัทไมโครซอฟท์ ซึ่งสามารถทำงานร่วมกับโปรแกรมอื่นๆ ของตระกูลไมโครซอฟท์ เช่น Office 97 ได้อีกด้วย
- Netscape Navigator เป็นบราวเซอร์อีกตัวหนึ่งที่มีผู้ใช้จำนวนมาก เป็นของบริษัท Netscape Communication ซึ่งบราวเซอร์ทั้ง 2 ตัวนี้มีคุณสมบัติคล้ายกัน เราสามารถ download โปรแกรมทั้งสอง (รุ่นทดลองใช้) ได้จากเว็บไซต์ของบริษัททั้งสอง

เว็บไซต์ (Website) เป็นแหล่งที่รวมของเว็บเพจทั้งหมดที่จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกันของหน่วยงาน หรือองค์กรหนึ่งๆ เมื่อใดที่ใช้โปรแกรมเปิดดูเว็บ (Web Browser Program) บราวเซอร์จะทำการติดต่อกับเว็บไซต์ที่เก็บเว็บเพจนั้น เพื่อทำการโอนย้ายเว็บที่ต้องการมายังเครื่องของผู้ใช้

Web Server คือ เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่เป็นแหล่งเก็บเว็บไซต์ที่ทุกคนสามารถใช้บราวเซอร์ติดต่อเพื่อขอดูเว็บเพจได้ เว็บเซิฟเวอร์ส่วนใหญ่จะติดต่อกับอินเตอร์เน็ตตลอดเวลาโดยใช้สายส่งความเร็วสูง เพื่อบริการผู้ที่เชื่อมต่อเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์

บทความเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ต

บทความเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ต
อินเตอร์เน็ตในชีวิตประจำวัน ปัจจุบันอินเตอร์เน็ตได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเราแล้ว เราสามารถทราบข่าวสารเกี่ยวกับอินเตอร์เน็ตได้จากหนังสือพิมพ์ วารสาร รายการวิทยุ และจากแหล่งข่าวสารมากมายทั่งทุกมุมโลก ทุกวันนี้มีหนังสือเกี่ยวกับอินเตอร์เน็ตให้เราทำความรู้จักและศึกษาเพิ่มเติม หนังสือพิมพ์ต่างๆ ซึ่งไม่ใช่หนังสือเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ก็ยังลงบทความเกี่ยวกับอินเตอร์เน็ต จึงทำให้เราเข้าใจเรื่องราวของอินเตอร์เน็ตและใช้งานจากอินเตอร์เน็ตมากขึ้น นอกจากนี้แล้วยังมีการเปิดสอนเป็นหลักสูตรในระดับปริญญาโทบนอินเตอร์เน็ต จากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในต่างประเทศ สำหรับในประเทศไทยมีการจัดการเรียนการสอนเป็นบางรายวิชา เช่น การเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยเสมือนของนิสิตปริญญาโทโสตทัศนศึกษาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นต้น
ทุกวันนี้มีการสร้างโปรแกรมประยุกต์ใช้งานบนอินเตอร์เน็ตมากมาย มีสถานีให้บริการเว็บ เกิดขึ้นทั่วโลก ในแต่ละวันมีสถานีใหม่ๆ เกิดขึ้นให้เราเข้าไปใช้งาน จำนวนผู้เข้าใช้บริการเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ซึ่งหน่วยงานทั้งของรัฐและเอกชนต่างพยายามขวนขวายหาทางให้ตนเองมีหมายเลขบัญชีบนอินเตอร์เน็ต (Internet Account) หรือเป็นสาขาย่อย (Node) ของศูนย์บริการอินเตอร์เน็ต (Internet Service Provider, ISP) เพื่อบริการแก่เจ้าหน้าที่ พนักงานใหม่ในหน่วยงานของตน
อันตรายจากอินเตอร์เน็ต
ประเทศไทยมีการนำระบบอินเตอร์มาใช้หลายปี ส่วนใหญ่เป็นการใช้งานภายในหน่วยงานราชการ สถาบันการศึกษา ต่อมามีการนำเอามาใช้ในเชิงธุรกิจสำหรับบุคคลทั่วไป ในปี พ.ศ. 2537 แต่ไม่ได้รับความนิยม สำหรับปี พ.ศ. 2539 แตกต่างกันออกไป ผลจากการที่มีข่าวปรากฏบนหน้าหนังสือพิมพ์ว่ามีการนำภาพดารามาตกแต่งเป็นภาพโป๊เปลือย แล้วนำไปแจกจ่ายบนอินเตอร์เน็ต กระแสความสนใจเกิดขึ้น ผู้คนทั่วไปเริ่มหันมาสนใจกับอินเตอร์มากขึ้นทุกที
อันตรายของอินเตอร์เน็ตที่พบเห็นได้เด่นชัดที่สุดน่าจะเป็นการใช้อินเตอร์เน็ต ผิดประเภทผิดวัตถุประสงค์ และใช้สื่อทางอินเตอร์เน็ตเพื่อกล่าวหาและโจมตีคู่แข่ง เพราะอินเตอร์เน็ตเป็นสื่อที่สามารถกระจายไปทั่วโลกได้อย่างรวดเร็ว
แต่อย่างไรอันตรายที่เกิดจากอินเตอร์เน็ตก็นับว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับประโยชน์ที่เราจะได้รับ
World Wide Web, Web Pages, Web Site และ HTML
ในการบริการอินเตอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็น E – mail, FTP เป็นบริการที่ได้กว้างขวางและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ บริการ www จะช่วยให้ผู้ที่ต้องการศึกษาหาความรู้จากแหล่งต่างๆ เข้าไปดูเอกสารซึ่งจะมีทั้งมีทั้งภาพและเสียง หรือภาพยนตร์ประกอบด้วยได้
เอกสารที่เราเปิดดูใน World Wide Web เรียกว่า เว็บเพจ (Web Pages) เรียกสั้นๆว่า เว็บ (Web) สร้างขึ้นจากภาษาคอมพิวเตอร์ที่เรียกชื่อว่า HTML (HyperText markup Language) ภาษา HTML จะกำหนดรูปแบบหน้าตาของเอกสารเว็บที่ปรากฏบนหน้าจอ และเชื่อมต่อกับเว็บเพจกับข้อมูลอื่นๆ
เอกสารแต่ละหน้ามีการเชื่อมต่อถึงกันในลักษณะที่เราสามารถเรียกดูเอกสารหนึ่งจากเอกสารฉบับอื่นได้ โดยในเว็บเพจจะมี Link เป็นคุณสมบัติที่ทำให้เว็บเพจแตกต่างจากเอกสารทั่วไป เพราะผู้อ่านสามารถโต้ตอบกับข้อมูลได้ โดยการคลิกเมาส์ เพื่อเปิดดูข้อมูลในส่วนที่ต้องการ บางคนอาจคิดว่าเว็บเพจมีส่วนคล้ายหน้าหนังสือ แต่ที่จริงแล้วเว็บเพจมีความแตกต่างจากหนังสือโดยทั่วไป เพราะเว็บเพจเป็นสื่อที่สามารถโต้ตอบได้การใช้ Link ทำให้เว็บเพจ แตกต่างจากสิ่งพิมพ์อื่นๆ เพราะผู้ใช้สามารถเลือกดูเฉพาะข้อมูลที่ต้องการ โดยไม่ต้องสนใจข้อมูลมหาศาลในอินเตอร์เน็ต ข้อมูลในเว็บมีการเปลี่ยนแปลงอย่างสม่ำเสมอ เช่น เว็บตลาดหุ้นจะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา นอกจากนั้นเว็บยังสามารถแสดงข้อมูลได้มากกว่าตัวอักษรหรือภาพเว็บเพจสามารถแสดงเสียง ภาพเคลื่อนไหว หรือภาพยนตร์ได้ แต่ละเว็บไซต์เมื่อพิจารณาดูก็คล้ายๆ หนังสือหนึ่งเล่มซึ่งประกอบด้วยหน้าหนังสือจำนวนมาก หน้าปกหนังสือมีความสำคัญมาก เพราะจะต้องสื่อเนื้อหาหลักของหนังสือในรูปแบบที่สะดุดตา และจูงใจให้คนเปิดอ่านถ้าเปรียบเว็บไซต์เหมือนหนังสือที่ประกอบด้วยเว็บเพจ จำนวนมากโฮมเพจ คือ เว็บเพจหน้าแรกที่มีหน้าที่คล้ายปกหนังสือ
เมื่อเปิดดูโฮมเพจจะพบคำแนะนำการใช้งาน สรุปสิ่งที่น่าสนใจในเว็บไซต์ไปจนถึงหัวข้อที่เชื่อมต่อไปยังเว็บเพจอื่นๆ


URL, Web Broser
การเปิดดูเว็บเพจ จะต้องมีการระบุตำแหน่งที่เก็บเว็บเพจนั้นในอินเตอร์เน็ต เรียกว่า URL หรือ Uniform Resource Locatution ส่วนสำคัญของ URL มีดังนี้
โปรโตคอล จะแจ้งให้บราวเซอร์ทราบว่าต้องจัดการกับข้อมูลที่พบอย่างไร
สำหรับเว็บเพจโปรโตคอลมาตรฐานที่ใช้มีชื่อเรียกว่า HTTP (HyperText Transfer Protocol)
ชื่อเซิฟเวอร์ จะระบุชื่อของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่เผยแพร่เว็บเพจ
บางครั้งส่วนนี้จะถูกเรียกว่า โดเมนเนม (Domain Name)
เซิฟเวอร์ทุกเครื่องจะมีโดเมนเนมเฉพาะที่ไม่เหมือนใคร
ชื่อเซิฟเวอร์อาจระบุแทนด้วยตัวเลขเฉพาะของมัน เช่น
195.121.237.1 เป็นต้น
การทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมเป็นเครือข่ายในระบบอินเตอร์เน็ต มีคอมพิวเตอร์ทั้งหมด 2 ประเภท ได้แก่ เครื่องดูแลเครือข่าย (Server) และเครื่องลูกข่าย (Client)
จึงเรียกเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมกับอินเตอร์เน็ตนี้ว่า Client Server Network
โปรแกรมสำหรับเข้า www เรียกว่า บราวเซอร์ (Web Broser) ปัจจุบันมีบราวเซอร์หลายรายที่ใช้สำหรับเปิดดูเว็บเพจถึงแม้แต่ละตัวมีคุณสมบัติคล้ายกัน แต่ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยแตกต่างกัน เมื่อเปิดบราวเวอร์เพื่อดูเว็บเพจเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เราใช้จะทำหน้าที่เป็นลูกข่าย (Clint) ติดต่อกับเครื่องที่เก็บข้อมูลเว็บเพจที่ทำหน้าที่เป็นเครื่องดูแลเครือข่าย (Server)
โปรแกรมบราวเซอร์ที่นิยมใช้ในปัจจุบันมี 2 กลุ่ม ได้แก่
- Internet Explorer ของบริษัทไมโครซอฟท์ ซึ่งสามารถทำงานร่วมกับโปรแกรมอื่นๆ ของตระกูลไมโครซอฟท์ เช่น Office 97 ได้อีกด้วย
- Netscape Navigator เป็นบราวเซอร์อีกตัวหนึ่งที่มีผู้ใช้จำนวนมาก เป็นของบริษัท Netscape Communication ซึ่งบราวเซอร์ทั้ง 2 ตัวนี้มีคุณสมบัติคล้ายกัน เราสามารถ download โปรแกรมทั้งสอง (รุ่นทดลองใช้) ได้จากเว็บไซต์ของบริษัททั้งสองเว็บไซต์ (Website) เป็นแหล่งที่รวมของเว็บเพจทั้งหมดที่จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกันของหน่วยงาน หรือองค์กรหนึ่งๆ เมื่อใดที่ใช้โปรแกรมเปิดดูเว็บ (Web Browser Program) บราวเซอร์จะทำการติดต่อกับเว็บไซต์ที่เก็บเว็บเพจนั้น เพื่อทำการโอนย้ายเว็บที่ต้องการมายังเครื่องของผู้ใช้
Web Server คือ เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่เป็นแหล่งเก็บเว็บไซต์ที่ทุกคนสามารถใช้บราวเซอร์ติดต่อเพื่อขอดูเว็บเพจได้ เว็บเซิฟเวอร์ส่วนใหญ่จะติดต่อกับอินเตอร์เน็ตตลอดเวลาโดยใช้สายส่งความเร็วสูง เพื่อบริการผู้ที่เชื่อมต่อเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์

ประโยชน์ของเว็บเพจ
เว็บเพจเป็นการรวบรวมข้อมูล รูปภาพ และเนื้อหาด้านมัลติมีเดียโดยส่วนใหญ่จะสร้างจากภาษา HTML เมื่อเว็บบราวเซอร์เปิดดูเว็บเพจ มันจะทำการโหลดข้อมูลของเว็บเพจที่เขียนด้วยภาษา HTML นั้น และแสดงข้อมูลตามที่กำหนด การสร้างเว็บเพจเพื่อเผยแพร่ข้อมูลบนอินเตอร์เน็ตมีประโยชน์ดังนี้
1. สร้างโฮมเพจที่มีข้อมูลส่วนตัวเพื่อให้คนทั้งโลกรู้จัก
2. สร้างเว็บเพจขององค์กรเพื่อประชาสัมพันธ์ขายสินค้าและบริการ
3. สร้างเว็บเพจเพื่อให้ความรู้แก่คนทั่วไป
4. สร้างเว็บเพจเพื่อกระจายข่าวสารขององค์กร ที่เปิดดูได้ทุกเวลา
5. สร้างฐานข้อมูลที่เป็นเหมือนห้องสมุดที่สามารถค้นคว้าข้อมูลที่ต้องการได้
ข้อคิดก่อนการว่างแผนการสร้างเว็บเพจ
การสร้างเว็บเพจหรือเว็บไซต์ไม่ต่างจากการออกแบบสื่ออื่นๆ จะแตกต่างกันตรงที่ เว็บเพจสามารถทำงานลักษณะของการปฏิสัมพันธ์เท่านั้นแนวทางที่จะช่วยให้การมีเว็บที่สร้างขึ้นมีประโยชน์ และน่าสนใจมากแก่ผู้ที่มาเยี่ยมเยือน มีดังนี้
1. ตั้งจุดประสงค์ โดยถามตนเองก่อนว่าสร้างเว็บเพจเพื่ออะไรเพื่อเป็นการกำหนดขอบเขตที่ชัดเจนของงานที่สร้างขึ้น
2. อย่าใช้เวลาในการออกแบบมากเกินไป การออกแบบเว็บเพจไม่เหมือน การออกแบบสิ่งพิมพ์ชนิดอื่น ผู้สร้างไม่สามารถควบคุมภาพที่ปรากฏออกทางหน้าจอมอร์นิเตอร์ของผู้ชมหรือคาดคะเนสิ่งที่แต่ละคนจะได้พบ เช่น โมเด็มและความเร็วในการเชื่อมโยงเข้ากับเครือข่าย การกำหนดแบบและขนาดตัวอักษรและสภาพแวดล้อมต่างๆ ภายในบราวเซอร์
3. ใส่เนื้อหาที่ดีและน่าสนใจลงในหน้าแรก ทั้งนี้เนื่องจากคนที่แวะเยี่ยมเว็บไซต์ ก็เหมือนเห็นปกหนังสือครั้งแรก ย่อมจะสนใจในสิ่งที่มองเห็นครั้งแรก
4. คำนึงถึงเวลาในการเข้าถึงเว็บไซต์ การเข้าถึงเว็บหรือการดาวน์โหลดข้อมูล ที่ต้องการขึ้นอยู่กับข้อมูลที่บรรจุในเว็บ การใส่กราฟิกลงในเว็บมาเกินไปเป็นการเสียเวลาในการเข้าถึงข้อมูล
5. การรู้จักกลุ่มเป้าหมายหรือกลุ่มประชากร ประชากรส่วนใหญ่ที่ใช้เว็บ ใช้ภาษาอังกฤษเป็นเจ้าของภาษา หรือใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง
6. เลือกใช้ข้อความที่สั้นและกระชับ การบอกเล่าข้อความที่สั้นกระชับถือเป็นศิลปะอย่างหนึ่งช่วยให้เกิดความน่าสนใจชวนอ่าน ง่ายต่อการจดจำ
7. หาสิ่งใหม่ๆ บรรจุลงไปในเว็บไซต์ที่เราชื่นชอบการลองเข้าไปค้นหาและสำรวจดูตามเว็บไซต์ที่เราชื่นชอบ หรือเว็บไซต์ที่มีจุดประสงค์เดียวกับของเรา ดูว่ามีอะไรใหม่ น่าสนใจอะไรบ้างสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับเว็บไซต์ของเราได้หรือไม่
8. กำหนดขอบเขตและวิธีการประเมินความสำเร็จไว้ในการสร้างข้อมูลข่าวสารเบื้องต้นชัดเจน ประเภทของผู้อ่าน จำนวนผู้ที่แวะเข้ามาในเว็บไซต์หรืออาจจะดูจำนวนส่ง E-mail หรือการโทรศัพท์เข้ามา

การออกแบบและการสร้างสื่อด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ
การออกแบบและการสร้างสื่อด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้ ถือเป็นหน้าที่สำคัญของทุกๆ คน เพราะต่างต้องเกี่ยวกับกระบวนการสื่อสาร และใช้เป็นประจำวัน ทุกคนต้องสร้างช่องทาง เพื่อที่จะสื่อสารสารสนเทศไปยังกลุ่มเป้าหมายให้เกิดผลที่รวดเร็วตามต้องการ สื่อที่มีประสิทธิภาพและสามารถเข้าถึงผู้ใช้ได้ดีเยี่ยมในยุดนี้ คือคอมพิวเตอร์ซึ่งมีให้เลือกใช้ได้หลายรูปแบบ เช่น การนำเสนอ โปรแกรมนำเสนอด้วยคอมพิวเตอร์ การใช้มัลติมีเดีย ในการนำเสนอเรื่องเนื้อหาที่มีการสัมพันธ์กับผู้ใช้ และการสร้างเว็บไซต์เพื่อเผยแพร่ความรู้ หรือมีจุดประสงค์อื่นสำหรับผู้เข้ามาเยี่ยมชม
การออกแบบเว็บไซต์หนึ่งๆ คล้ายกับการสร้างเอกสารหรือหนังสือหนึ่งเล่ม คือ มีปกหนังสือของเว็บไซต์และมีเนื้อหาของหนังสือแบ่งเป็นหน้าเปรียบได้กับหน้าอื่นๆ ของเว็บไซต์นั่นเอง การสร้างเว็บไซต์ให้น่าสนใจชี้ชวนให้ผู้ที่เข้าไปศึกษาแล้วแวะเวียนมาอีก นอกจากมีเนื้อหาสาระดีแล้วจะต้องออกแบบให้ตรงกันกับความต้องการของผู้ชม เช่น สวยงาม ง่ายต่อการเข้าหาเนื้อหา การสร้างเว็บไซต์และเว็บเพจให้มีประโยชน์และน่าสนใจควรมีขั้นตอนการออกแบบ 4 ขั้นตอน ได้แก่
1. การวิเคราะห์งาน การสร้างเว็บไซต์หนึ่งๆ ผู้สร้างต้องนึกถึงผู้ดูก่อนว่าเป็นกลุ่มใด เนื้อหาสาระอะไร ผู้สร้างจะต้องรู้จักการวิเคราะห์ว่าใครคือผู้ดู เรื่องอะไร ใช้สื่อแบบใด รวมทั้งให้เกิดผลอย่างไร ในขั้นตอนนี้ผู้สร้างจะต้องรู้จักการวิเคราะห์เนื้อหาสาระที่จะนำมาสร้างเว็บไซต์หนึ่งๆ นั้นจะแบ่งเป็นหน่วยย่อยต่างๆ ได้เท่าใด จึงครอบคลุมเนื้อหาตามจุดประสงค์ที่กำหนด
2. การออกแบบ ขั้นตอนการออกแบบจะต้องสามารถแปลมโนทัศน์หลักการในแต่ละเรื่องหรือเนื้อหาย่อยให้เป็นภาพให้ได้ เพราะการรับรู้เรื่องราวต่างๆ ทางสายตานั้นผู้เรียนจะรับรู้ได้มากที่สุด เปรียบเสมือนการสร้างถนนสิบเลนให้ผู้ดูขับรถผ่าน
3. การพัฒนาเว็บไซต์และเว็บเพจ เป็นการดำเนินการสร้างตามแผนที่ได้กำหนดไว้ ในสคริปต์ ถ้าผู้ออกแบบได้ออกแบบเว็บหน้าต่างๆ ไว้ชัดเจนการพัฒนาก็สะดวกและง่าย ซึ่งอาจไม่จำเป็นต้องลงมือผลิตเองต้องมีคำอธิบายต่างๆ มากมาย จึงจะทำให้งานตรงตามเป้าหมายที่ต้องการ การลงมือสร้างเว็บเพจจะต้องอาศัยทักษะด้านการออกแบบ เช่น การสร้างตัวอักษร การเขียนและ การเลือกภาพ
4. การปรับปรุงและแก้ไข เว็บไซต์ที่ได้ออกแบบมาอย่างดีไม่ได้หมายความว่าจะดีดังที่ใจผู้สร้างคิด เพราะผู้ที่สร้างเว็บไซต์นั้นดีหรือไม่ดีนั้นก็คือชมนั้นเอง ดังนั้น เมื่อสร้างเสร็จแล้วต้องนำไปทดลองใช้ และการปรับปรุงแก้ไขให้ทันสมัยและสอดคล้องกับความต้องการของผู้ชมในขั้น การปรับปรุงแก้ไขนี้ ผู้ออกแบบเว็บไซต์หรือเว็บเพจจะสามารถปรับปรุงแก้ไขได้ทุกขั้นตอนที่ผ่านมา ตั้งแต่การวิเคราะห์ การออกแบบและการพัฒนา เพื่อที่จะให้เว็บที่สร้างขึ้นทันสมัยและสอดคล้องกับความต้องการของผู้ชม
ปฏิบัติการสร้างสื่อสารสนเทศสองรูปแบบ
การสร้างสารสนเทศหรือสื่อด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศมีลักษณะเป็นการนำเสนอ (Presentation) ซึ่งอาจจะใช้ห้องที่จัดไว้โดยเฉพาะโดยผ่านอุปกรณ์ เช่น เครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ เครื่องรับโทรทัศน์ หรือฉายด้วยเครื่องฉาย ส่วนอีกประเภท ได้แก่ การสร้างสารสนเทศและนำไปเสนอผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เช่น อินเตอร์เน็ต หรืออินทราเน็ต สำหรับเทคนิคการสร้างมีความแตกต่างกันเล็กน้อย

1 กันยายน 2554

โทษของอินเทอร์เน็ต

โทษของอินเทอร์เน็ต
- โทษของอินเทอร์เน็ต มีหลากหลายลักษณะ ทั้งที่เป็นแหล่งข้อมูลที่เสียหาย, ข้อมูลไม่ดี ไม่ถูกต้อง, แหล่งประกาศซื้อขาย
ของผิดกฏหมาย, ขายบริการทางเพศ ที่รวมและกระจายของไวรัสคอมพิวเตอร์ต่างๆ
- อินเทอร์เน็ตเป็นระบบอิสระ ไม่มีเจ้าของ ทำให้การควบคุมกระทำได้ยาก
- มีข้อมูลที่มีผลเสียเผยแพร่อยู่ปริมาณมาก
- ไม่มีระบบจัดการข้อมูลที่ดี ทำให้การค้นหากระทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร
- เติบโตเร็วเกินไป
- ข้อมูลบางอย่างอาจไม่จริง ต้องดูให้ดีเสียก่อน อาจถูกหลอกลวง-กลั่นแกล้งจากเพื่อน
- ถ้าเล่นอินเทอร์เน็ตมากเกินไปอาจเสียการเรียนได้
- ข้อมูลบางอย่างก็ไม่เหมาะกับเด็กๆ
- ขณะที่ใช้อินเทอร์เน็ต โทรศัพท์จะใช้งานไม่ได้ (นั่นจะเป็นเฉพาะการต่ออินเทอร์เน็ตแบบ Dial up แต่ในปัจจุบันอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงจะสามารถใช้งานโทรศัพท์ที่ต่ออินเทอร์เน็ตได้ด้วย)
- เป็นสถานที่ที่ใช้ติดต่อสื่อสาร เพื่อก่อเหตุร้าย เช่น การวางระเบิด หรือล่อลวงผู้อื่นไปกระทำชำเรา
- ทำให้เสียสุขภาพ เวลาที่ใช้อินเตอร์เนตเป็นเวลานานๆ โดยไม่ได้ขยับเคลื่อนไหว

โรคติดอินเทอร์เน็ต
โรคติดอินเทอร์เน็ต (Webaholic) เป็นอาการทางจิตประเภทหนึ่ง ซึ่งนักจิตวิทยาชื่อ Kimberly S Young ได้ศึกษาและวิเคราะห์ไว้ว่า บุคคลใดที่มีอาการดังต่อไปนี้ อย่างน้อย 4 ประการ เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 1 ปี แสดงว่าเป็นอาการติดอินเทอร์เน็ต

- รู้สึกหมกมุ่นกับอินเทอร์เน็ต แม้ในเวลาที่ไม่ได้ต่อเข้าระบบอินเทอร์เน็ต
- มีความต้องการใช้อินเทอร์เน็ตเป็นเวลานานขึ้นอยู่เรื่อยๆ ไม่สามารถควบคุมการใช้อินเทอร์เน็ตได้
- รู้สึกหงุดหงิดเมื่อใช้อินเทอร์เน็ตน้อยลง หรือหยุดใช้
- คิดว่าเมื่อใช้อินเทอร์เน็ตแล้ว ทำให้ตนเองรู้สึกดีขึ้น
- ใช้อินเทอร์เน็ตในการหลีกเลี่ยงปัญหา
- หลอกคนในครอบครัว หรือเพื่อน เรื่องการใช้อินเทอร์เน็ตของตนเอง
- มีอาการผิดปกติเมื่อเลิกใช้อินเทอร์เน็ต เช่น หดหู่ กระวนกระวาย
ซึ่งอาการดังกล่าว ถ้ามีมากกว่า 4 ประการในช่วง 1 ปี จะถือว่าเป็นอาการติดอินเทอร์เน็ต ซึ่งส่งผลเสียต่อระบบร่างกาย
ทั้งการกิน การขับถ่าย และกระทบต่อการเรียน สภาพสังคมของคนๆ นั้นต่อไป

อาชญากรรมคอมพิวเตอร์
เทคโนโลยีที่ทันสมัย แม้จะช่วยอำนวยความสะดวกได้มากเพียงใดก็ตาม สิ่งที่ต้องยอมรับความจริงก็คือ เทคโนโลยีทุกอย่างมีจุดเด่นและข้อด้อยของตนทั้งสิ้น ทั้งที่มาจากตัวเทคโนโลยีเอง และมาจากปัญหาอื่นๆ เช่น บุคคลที่มีจุดประสงค์ร้าย
ในโลก cyberspace อาชญากรรมคอมพิวเตอร์เป็นปัญหาหลักที่นับว่ายิ่งมีความรุนแรง เพิ่มมากขึ้น ประมาณกันว่ามีถึง 230% ในช่วงปี 2002 และแหล่งที่เป็นจุดโจมตีมากที่สุดก็คือ อินเทอร์เน็ต นับว่ารุนแรงกว่าปัญหาไวรัสคอมพิวเตอร์เสียด้วยซ้ำ
หน่วยงานทุกหน่วยงานที่นำไอทีมาใช้งาน จึงต้องตระหนักในปัญหานี้เป็นอย่างยิ่ง จำเป็นต้องลงทุนด้านบุคลากรที่มีความ
เชี่ยวชาญด้านการรักษาความปลอดภัย ระบบซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ที่มีประสิทธิภาพ การวางแผน ติดตาม และประเมินผลที่ต้องกระทำอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง
แต่ไม่ว่าจะมีการป้องกันดีเพียงใด ปัญหาการโจมตีระบบคอมพิวเตอร์ก็มีอยู่เรื่อยๆ ทั้งนี้ระบบการโจมตีที่พบบ่อยๆ ได้แก่
- Hacker & Cracker อาชญากรที่ได้รับการยอมรับว่ามีผลกระทบต่อสังคมไอทีเป็นอย่างยิ่ง
- บุคลากรในองค์กร หน่วยงานใดที่ไล่พนักงานออกจากงานอาจสร้างความไม่พึงพอใจให้กับพนักงานจนมาก่อปัญหาอาชญากรรมได้เช่นกัน
- Buffer overflow เป็นรูปแบบการโจมตีที่ง่ายที่สุด แต่ทำอันตรายให้กับระบบได้มากที่สุด โดยอาชญากรจะอาศัย
ช่องโหว่ของระบบปฏิบัติการ และขีดจำกัดของทรัพยากรระบบมาใช้ในการจู่โจม การส่งคำสั่งให้เครื่องแม่ข่ายเป็นปริมาณมากๆ ในเวลาเดียวกัน ซึ่งส่งผลให้เครื่องไม่สามารถรันงานได้ตามปกติ หน่วยความจำไม่เพียงพอ จนกระทั่งเกิดการแฮงค์ของระบบ เช่นการสร้างฟอร์มรับส่งเมล์ที่ไม่ได้ป้องกัน ผู้ไม่ประสงค์อาจจะใช้ฟอร์มนั้นในการส่งข้อมูลกระหน่ำระบบได้
- Backdoors นักพัฒนาเกือบทุกราย มักสร้างระบบ Backdoors เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการทำงาน ซึ่งหากอาชญากรรู้เท่าทัน ก็สามารถใช้ประโยชน์จาก Backdoors นั้นได้เช่นกัน
- CGI Script ภาษาคอมพิวเตอร์ที่นิยมมากในการพัฒนาเว็บเซอร์วิส มักเป็นช่องโหว่รุนแรงอีกทางหนึ่งได้เช่นกัน
- Hidden HTML การสร้างฟอร์มด้วยภาษา HTML และสร้างฟิลด์เก็บรหัสแบบ Hidden ย่อมเป็นช่องทางที่อำนวย
ความสะดวกให้กับอาชญากรได้เป็นอย่างดี โดยการเปิดดูรหัสคำสั่ง (Source Code) ก็สามารถตรวจสอบและนำมา
ใช้งานได้ทันที
- Failing to Update การประกาศจุดอ่อนของซอฟต์แวร์ เพื่อให้ผู้ใช้นำไปปรับปรุงเป็นทางหนึ่งที่อาชญากร นำไป
จู่โจมระบบที่ใช้ซอฟต์แวร์นั้นๆ ได้เช่นกัน เพราะกว่าที่เจ้าของเว็บไซต์ หรือระบบ จะทำการปรับปรุง (Updated) ซอตฟ์แวร์ที่มีช่องโหว่นั้น ก็สายเกินไปเสียแล้ว
- Illegal Browsing ธุรกรรมทางอินเทอร์เน็ต ย่อมหนีไม่พ้นการส่งค่าผ่านทางบราวเซอร์ แม้กระทั่งรหัสผ่านต่างๆ ซึ่งบราวเซอร์บางรุ่น หรือรุ่นเก่าๆ ย่อมไม่มีความสามารถในการเข้ารหัส หรือป้องกันการเรียกดูข้อมูล นี่ก็เป็นอีกจุดอ่อนของธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ได้เช่นกัน
- Malicious scripts จะมีการเขียนโปรแกรมไว้ในเว็บไซต์ แล้วผู้ใช้เรียกเว็บไซต์ดูบนเครื่องของตน อย่างมั่นใจ
หรือว่าไม่เจอปัญหาอะไร อาชญากรอาจจะเขียนโปรแกรมแฝงในเอกสารเว็บ เมื่อถูกเรียก โปรแกรมนั้นจะถูกดึงไปประมวลผลฝั่งไคลน์เอ็นต์ และทำงานตามที่กำหนดไว้อย่างง่ายดาย โดยที่ผู้ใช้จะไม่ทราบว่าตนเองเป็นผู้สั่งรันโปรแกรมนั้นเอง
- Poison cookies ขนมหวานอิเล็กทรอนิกส์ ที่เก็บข้อมูลต่างๆ ตามแต่จะกำหนด จะถูกเรียกทำงานทันทีเมื่อมีการเรียกดูเว็บไซต์ที่บรรจุคุกกี้ชิ้นนี้ และไม่ยากอีกเช่นกันที่จะเขียนโปรแกรมแฝงอีกชิ้น ให้ส่งคุกกี้ที่บันทึกข้อมูลต่างๆ ของผู้ใช้ส่งกลับไปยังอาชญากร
- ไวรัสคอมพิวเตอร์ ภัยร้ายสำหรับหน่วยงานที่ใช้ไอทีตั้งแต่เริ่มแรก และดำรงอยู่อย่างอมตะตลอดกาล ในปี 2001
พบว่าไวรัส Nimda ได้สร้างความเสียหายได้สูงสุด เป็นมูลค่าถึง 25,400 ล้าบบาท ในทั่วโลก ตามด้วย Code Red, Sircam, LoveBug, Melissa ตามลำดับที่ไม่หย่อนกว่ากัน
ปัญหาของโลกไอที มีหลากหลายมาก การทำนายผลกระทบที่มีข้อมูลอ้างอิงอย่างพอเพียง การมีทีมงานที่มีประสิทธิภาพ การวางแผน ติดตาม ประเมินผลอย่างสม่ำเสมอ คงจะช่วยให้รอดพ้นปัญหานี้ได้บ้าง

ที่มา

http://blog.eduzones.com/banny/3743

ประวัติความเป็นมาของระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต

ประวัติความเป็นมาของระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต

จุดกำเนิดเริ่มแรกของอินเตอร์เน็ตนั้น เกิดขึ้นจากวัตถุประสงค์ทางการทหารและความมั่นคงของประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อให้สามารถเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์เข้าหากันแม้จะมีระบบที่แตกต่างกันและสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้แม้ว่าเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องใดเครื่องหนึ่งในระบบที่ต่ออยู่จะไม่สามารถทำงานได้ และการพัฒนาการของระบบก็มีมาอย่างต่อเนื่องดังนี้

..2512 หน่วยงาน ARPA (Advance Research Project Agency) ซึ่งเป็นผู้ที่ดำเนินการวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์ของสหรัฐ ได้ริเริ่มโครงการที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ มีชื่อโครงการว่า ARPANet ผู้ที่ทำโครงการนี้ก็คือผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในมหาวิทยาลัยที่ร่วมโครงการ ในระยะแรกใช้สายโทรศัพท์ในการต่อเชื่อมผ่านโปรโตคอล(Protocol) NCP (Network Control Protocol) และจำกัดจำนวนเครื่องที่สามารถต่อเข้าในระบบด้วย

..2514 มีการสร้างโปรแกรมรับส่ง e-mail เพื่อสื่อสารกันระหว่างระบบเครือข่ายต่าง ๆ

..2516 ARPANet ได้เชื่อมต่อไปยังประเทศ อังกฤษและนอร์เวย์

..2525 ARPANet เปลี่ยนจาก NCP มาเป็น TCP/IP (Transmission Control Protocol/ Internet Protocol)

..2527 มีการเริ่มใช้ระบบ DNS(Domain Name Server)

..2529 ก่อตั้ง NSFNET (National Science Foundation Network) มีความเร็ว 56 Kbps. เพื่อเชื่อมต่อเครื่อง supercomputer จากสถาบันต่าง ๆ เข้าด้วยกัน และได้ชื่อว่าเป็น backbone ที่สำคัญของระบบอินเตอร์เน็ต

..2530 หน่วยงาน Merit Network ได้เข้ามาเป็นผู้ดูแล NSFNET

..2532 NSFNET เพิ่มความเร็วเครือข่ายเป็น 1.544 Mbps จำนวนเครื่องที่เชื่อมต่อเข้าสู่อินเตอร์เน็ตก็เพิ่มขึ้นเป็น 100,000 เครื่อง

..2533 ARPANet หยุดดำเนินการ

..2534 มีการก่อตั้ง NERN (National Research and Education Network) จำนวนเครื่องที่ต่อเชื่อมเข้าสู่อินเตอร์เน็ตมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจาก 376,000 เครื่องในเดือนมกราคม เป็น 617,000 เครื่องในเดือน ตุลาคม

..2535 มีการเริ่มใช้ www ที่ CERN (the European Laboratory for Particle Physics) NSFNET เพิ่มความเร็วเป็น 44.736 Mbps จำนวนเครื่องที่ต่อเชื่อมเข้าสู่อินเตอร์เน็ตเพิ่มขึ้นถึง 1,000,000 เครื่อง

..2536 NSF ก่อตั้ง InterNIC เพื่อเป็นผู้ดำเนินการเรื่องการแจกจ่ายชื่อโดเมน บริษัทและผู้สนใจต่าง ๆ เริ่มเชื่อมต่อตัวเองเข้าสู่ระบบอินเตอร์เน็ต

..2537 NCSC (National Center for Computing at University of Illinois) สร้างโปรแกรม Mosaic เป็นโปรแกรม Web browser เริ่มมีการทำการค้าขายผ่านอินเตอร์เน็ต และ มีโปรแกรมที่ช่วยสำหรับค้นหาข้อมูลเกิดขึ้น

..2538 ยกเลิกโครงการ NSFNET และเปลี่ยนไปลงทุนกับโครงการ vBNS (Very-High-Speed Backbone Network Service) เพื่อเป็น backbone ให้แก่อินเตอร์เน็ตในอนาคต